ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เล่ห์กิเลส

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๙

เล่ห์กิเลส

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง เจ็บที่ใจ

กราบนมัสการหลวงพ่อ เมื่อก่อนผมเคยนั่งสมาธิ เกิดเวทนาเจ็บขามาก จนออกจากการนั่ง ปัจจุบันนี้เกิดเวทนาที่ใจครับ นั่งเพียงหนึ่งนาทีก็นั่งไม่ได้ เดินจงกรมเพียงหนึ่งนาทีก็ยากแล้วครับ ใจมันไม่อยากนั่ง ใจไม่อยากเดิน 

แต่กระผมก็อยากนั่ง ความอยากเดินจงกรมสู้ใจตัวเองไม่ได้ครับ กระผมควรแก้อย่างไรดีครับ ใจไม่อยากทำสมาธิ แต่ผมอยากทำสมาธิครับ เพื่อบุญกุศลกับตัวผมเอง และครอบครัวครับ แต่ใจไม่อยากทำ กระผมไม่เข้าใจครับ

ตอบ : เวลาเขาเขียนมา เราอ่านเราว่าเราสับสนหรือคำถามสับสนก็ไม่รู้ เพราะเขาเขียนมา เห็นไหม อยากทำครับ แต่ทำไม่ได้ครับ อยากทำครับ แต่ทำไม่ได้ครับ” 

เวลาเราพูด เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านบอกนี่จิตมันเสื่อม เวลาจิตมันเสื่อมไปแล้วมันมีปัญหาอย่างนี้ คิดดูสิ หนึ่งนาทีก็ยังทำไม่ได้ นั่งสมาธิแค่นาทีเดียวมันก็นั่งไม่ได้ เดินจงกรมแค่นาทีเดียวก็เดินไม่ได้ เหมือนเวลาเราทำอยากภาวนา ไปเห็นทางจงกรมแล้วมันแหยง เห็นทางจงกรมแล้วมันเบ้เลย หาทางออกเลย มันไม่ยอมเข้าทางจงกรม นี่เวลาจิตมันเสื่อม

เวลาจิตมันเสื่อมมันเป็นอย่างนี้ ขนาดเรานั่งกัน เห็นไหม ๕ นาที ๑๐ นาทีเรายังนั่งแสนยาก แต่เวลาคนที่เขานั่ง เมื่อก่อนเขาเคยนั่งสมาธิ เขาเกิดเวทนาเจ็บมาก เจ็บมาก เวลาเจ็บมากเวทนาสู้ต่างๆ เวลาเราสู้กับเวทนา เห็นไหม ถ้าเรามีกำลัง มีความสามารถอยู่ เราพยายามสู้ของเรา พยายามสู้ของเราเพราะอะไร เพื่อเอาชนะตนเองไง

เหมือนเด็ก เห็นไหม เด็กมันหัดเขียนหนังสือ เด็กถ้าเข้าอนุบาล มันเขียนหนังสือไม่เป็น ครูเขาก็ฝึกหัดจนกว่ามันเขียนหนังสือได้ ได้ ก.ไก่ ก.กา สักตัวก็ยังดี แล้วฝึกหัดให้ชำนาญขึ้น ต่อไปมันผสมคำได้เลย

นี่ของเราก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราพยายามจะฝึกตัวเราให้ทำได้ แต่ถ้ามันทำได้นะ จิตใจที่เราดูแลของเรา แล้วเราทำของเรา อย่าให้มันแบบว่ามันตีกลับ ถ้ามันตีกลับมันเป็นแบบนี้ เวลาจิตเสื่อม เวลาจิตเสื่อมเวลากิเลสมันเล่ห์เหลี่ยมของมัน มันพลิกแพลงขึ้นมา มันร้อยสันพันคม มันร้อยสันพันคมนะ

เวลาครูบาอาจารย์เราบางองค์ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มันก็ชักนำไป ปฏิบัติแล้วได้สมาธิ พอได้สมาธิแล้วเกิดปัญญา เกิดปัญญาแล้วได้มรรคได้ผล มันคิดไปเอง จินตนาการไปเองว่าตัวเองมีมรรคมีผล พอถ้ามีมรรคมีผล พอไปเจออุปสรรค ไปเจออะไรที่กระทบเข้า ไปเลย พอไปเลย นั่นน่ะมันบอกแล้ว มีมรรคมีผลจริงหรือเปล่า

เวลามันบังเงานะ มันก็ชักลากเราไปไง ชักลากเราไปว่า โอ้โฮมันดี มันสุข มันสงบ มันรื่นเริง มันเป็นผลประโยชน์ แต่จริงๆ แล้วมันหลอกหมดเลย คือมันไม่จริง แต่ในมุมกลับ นี่ กามสุขัลลิกานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค ทำไปแล้วมันมีแต่อุปสรรคทั้งนั้น ทำไปแล้วมันมีแต่ความทุกข์ความยาก ทำไปแล้วมีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ

ใจเรานะ เราอยากเดินจงกรม อยากนั่งสมาธิ แต่แม้แต่หนึ่งนาทีก็ทำไม่ได้ นั่งสมาธิหนึ่งนาทีก็ไม่ได้ เดินจงกรมแม้แต่เพียงหนึ่งนาทีก็แสนยากครับ ใจมันไม่อยากนั่ง ใจมันไม่อยากเดิน ใจมันไม่เอา ใจมันตีกลับ” นี่เวลากิเลสมันตีกลับ

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านเมตตา ท่านคอยดูแลถนอมรักษาพวกเราก็ตรงนี้ เวลาเรามองมุมหนึ่ง ท่านจุกจิก จู้จี้ จุกจิก แหมเรื่องมาก ไอ้เรื่องมากก็ตรงนี้แหละ ตรงเวลามันเสื่อมไปนี่แหละ เพราะอะไร เพราะนั่นดินพอกหางหมูนะ หมูเวลาหางมันเปียก เห็นไหม มันคลุกฝุ่น มันพอกหางหมู พอกไปเรื่อย ไอ้ของเราจุกจิก จุกจิก นั่นแหละดินจะพอกหางหมู ทำไป ทำไป แล้วประเดี๋ยวหางหมูนี่ดินเป็นก้อนโตๆ เลย มันพอกไปเรื่อยๆ 

แต่ถ้าเราดูแลรักษา เห็นไหม เราทำความสะอาดเรื่อย เราไม่คลุกฝุ่นของเรา เราจะดูแลของเรา ไม่ให้ดินพอกหางหมู ไม่ให้กิเลสมันพอกหัวใจ ถ้าไม่ให้มีกิเลสพอกหัวใจ เราทำสิ่งใด มันจะทุกข์มันจะยาก มันทุกข์มันยากเพราะเราเชื่อ เราศรัทธา เรามีศรัทธาความเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เราคิดว่า การประพฤติปฏิบัติดัดแปลงตน การประพฤติปฏิบัติคือดัดแปลงหัวใจ 

ถ้าดัดแปลงหัวใจให้เข้าสู่สัจธรรม ให้เข้าสู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปรารถนาตรงนั้น การว่าปรารถนาตรงนั้นมันเป็นอริยทรัพย์ พอเป็นอริยทรัพย์มันต้องทุ่มเท เห็นไหม มันต้องทุ่มเทด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา การทุ่มเทอย่างนั้น เราถึงยอมทุกข์ยอมยากกัน เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านอดอาหาร อดนอนผ่อนอาหาร เห็นไหม ท่านทำของท่าน ไอ้ที่ไม่ทุกข์ไม่มีหรอก การอดอาหารไม่หิวไม่กระหายมันเป็นไปไม่ได้ มันหิวมันกระหาย แต่ผลที่จะได้มาคือร่างกายมันเบา ร่างกายมันเบามันไม่มีพลังงานที่เหลือกดทับ

หลวงตาท่านใช้คำว่า ขันธ์ ๕ ทับจิต ขันธ์ ๕ ทับจิต” คือร่างกายมันมีพลังงานที่เหลือใช้ มันก็อุ้ยอ้าย มันก็ง่วงเหงาหาวนอน มันก็กดทับหัวใจของเรา ไอ้เราเวลาอดอาหารมันหิว มันกระหาย พลังงาน นี่มันดึงพลังงานที่สะสมเอามาใช้ สะสมเอามาใช้ เห็นไหม ถ้าอดมากๆ ไปจนร่างกายซูบผอม แต่เราต้องทนเวทนาคือหิว ทนความกระหาย เราสู้ทนกับมัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป จิตใจมันผ่องแผ้ว จิตใจมันผ่องแผ้ว

เราเวลาปฏิบัติทุกคนจะบอกว่าเราไม่มีงานทำ เราหางานทำไม่ได้ เวลาอดอาหารไปมันมีความหิวมีความกระหาย จิตใจเรามันเกิดปัญญาขึ้นมา มันก็ถามหัวใจของเราว่า อะไรมันหิว กระเพาะมันหิวหรือ หรือร่างกายนี้มันหิว อะไรมันหิว เห็นไหม ถ้าเราพิจารณาไปด้วยสัจธรรม สัจธรรมคือธรรมโอสถ เวลาธรรมโอสถมันไล่เข้าไปนะ สิ่งที่ว่าหิวๆ มันปล่อยหมดเลย จิตมันมีปัญญาเข้าไปควบคุมได้ มันปล่อยหมดเลย พอปล่อยหมดเลย ความหิว ความกระหายเพราะว่าเรารับรู้ว่ามันหิวมันกระหายไง

เวลามันปล่อยหมดเลย ร่างกายมันก็อันเดิมนี่แหละ แต่หัวใจมันปล่อยหมดแล้ว มันโล่งโถงหมดนะ โอ๋ยมันว่างหมดเลย หิวๆ มันปล่อยวางได้ไง มันปล่อยวางได้หมดเลยนะ นี่พูดถึงว่าขนาดหิวกระหาย เราต้องทน เราต้องมีสติปัญญาไล่ต้อนกับมัน แล้วไม่ใช่มันหิวเฉยๆ หิวเฉยๆ แบบว่าทางแอฟริกา เห็นไหม เขาขาดอาหาร ขาดอาหารจนเด็กนี่ขาดอาหารทั้งประเทศเลย เพราะเขาไม่มีอาหารไว้กินของเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ที่เขาอดอย่างนั้นเพราะว่าเขามีความจำเป็น เขาอดเพราะความทุกข์ความยากทางโลกเขา อดเพราะเขาขาดแคลน เขาไม่ได้ใช้ปัญญาของเขาไง เขาไม่มีปัญญาของเขา เขามาใคร่ครวญ เขาไม่มีปัญญาหรอก เขามีแต่เรียกร้องความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ เรียกร้องความช่วยเหลือจากโลก เพราะว่าเขาเป็นจุดที่เขาขาดแคลน เขาไม่ได้คิดถึง ไม่มีสติมีปัญญาที่สมควรที่จะพิจารณาจะประพฤติปฏิบัติธรรมได้ เพราะจิตใจของเขาทุกข์ จิตใจของเขายาก จิตใจของเขาเป็นโลก จิตใจของเขามีแต่กิเลสมันทับถม

แต่จิตใจของเรา จิตใจของเราที่ชื่นบาน จิตใจของเราที่แสวงหาทางออก มันอยู่ที่จิตใจไง จิตใจที่มีกำลัง จิตใจที่มีเจตนา ความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกัน 

จิตใจ จิตใจหนึ่งคิดแต่ทางโลก จิตใจหนึ่งคิดถึงการขาดแคลน จิตใจคิดถึงการบกพร่อง คิดถึงทุกขเวทนาทางโลกไง ว่าการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในทางปัจจัยเครื่องอาศัย

แต่เวลาธรรมะ ธรรมะ เห็นไหม พระเรา เรามีอาหาร เราบิณฑบาตมา เราก็มีอาหารของเรา แต่มันสัมมาอาชีวะด้วย ถูกต้องดีงาม เพราะเขาศรัทธา เขามีความเชื่อ เขาอยากได้บุญกุศลของเขา เขาถึงได้ตักบาตรเรามา แล้วบิณฑบาตเมื่อไหร่มันก็มีทุกอย่างพร้อม 

เรามีสมบูรณ์ มันอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ แล้วเวลาเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เรามีปัญญาของเรา เห็นไหม เราพยายามจะดัดแปลงตนของเรา เราจะพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีเจตนา เราตั้งใจของเรา

จิตใจเราหวังมรรคหวังผล มันมีการกระทำ มันมีสติมีปัญญา คือมันมีใจ ใจนี่มันใฝ่หา ใจที่มีการกระทำ แต่ใจตัวนี้ ใจนี้โดนกิเลสครอบงำ ใจนี้มันสู้กิเลสไม่ไหว เห็นไหม เราก็ใช้อุบายในธุดงควัตร ในสัลเลขธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาดูแลรักษา รักษานี่มันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าไง

แต่เวลาเราดูแลรักษา เราต้องมีการกระทำ มันจะหิวไหม หิว โดยธรรมชาติมันหิวทั้งนั้น แต่มันมีสติมีปัญญาใคร่ครวญว่าอารมณ์ความที่ไปเกาะเกี่ยว อารมณ์ที่มันไปเกาะเกี่ยว อารมณ์ที่มันไปยึดมั่น จิตที่มันโดนกิเลสครอบงำไปยึดมั่น เรามีสติมีปัญญา เราแก้ไขตรงนี้ไง

แต่อาหารมันกองอยู่นั่นเต็มไปหมดเลย แต่เราผ่อน เราอด เพื่อจะใช้สติปัญญาอย่างนี้ เห็นไหม มันต่างกันไง มันต่างกันเพราะเรามีสติมีปัญญาดูแลรักษาใช่ไหม ถ้าเราดูแลรักษาขึ้นมา มันพิจารณาไป พิจารณาไป ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม มันเป็นมรรคเป็นผล มันปล่อย โล่งหมดเลย พอโล่งหมดเลยมันมหัศจรรย์ คนที่ทำได้มันถึงมหัศจรรย์ คนทำได้มันถึงฝังอยู่ในใจอันนั้นไง 

ถ้าใจอันนั้นมันก็เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ แล้วเป็นประโยชน์ ทีนี้พอเป็นประโยชน์แล้วมันติดใจอยากได้อีก นี่ก็กลับมาที่คำถาม ถ้าอยากได้อีกก็เป็นอย่างนี้ มันอยากได้ อยากได้โดยที่มันไม่มีเหตุมีผลเพียงพอ แล้วถ้ามีเหตุมีผลเพียงพอ กิเลสมันก็ละเอียดขึ้น เพราะเมื่อก่อนกิเลสมันต่อต้านอย่างนี้ เรายังเอาชนะมันมาได้ กิเลสครั้งต่อไปมันลึกซึ้งกว่านั้น มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานกว่านั้น

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ท่านถึงบอกกิเลส แก่นของกิเลสเหนียวนัก กิเลสร้ายนัก คนที่จะชนะกิเลสได้มันร้ายนัก แล้วเล่ห์เหลี่ยมของมันร้อยแปดเลย 

ฉะนั้น สิ่งที่คำถาม เห็นไหม เจ็บที่ใจ เจ็บที่ใจ” มันสะใจเรามาก สะใจมากนะ สะใจมากตรงไหน สะใจมากที่ว่า นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านดูแล ที่ท่านปากเปียกปากแฉะ ท่านควบคุมก็เพราะเหตุนี้แหละ เวลาจิตเสื่อม ๑ เวลากิเลสมันพลิกแพลง ๑

นี่ยังดีนะ ยังว่ายังอยากทำอยู่ ยังอยากทำอยู่ ถ้ากิเลสมันพลิกแพลง เฮ้อรู้อย่างนี้ไม่ปฏิบัติตั้งแต่ทีแรกก็ดี เสียเวลาตั้งหลายปี แล้วไม่เห็นได้อะไรเลย โอ้โฮมันตีกลับมานะ เลิกแล้วมันยังกลับมาติเตียนอีกน่ะ แต่ถ้ามันยังไม่เลิกนะ ไม่เลิกแต่เราบอกว่าเล่ห์ของมัน เล่ห์เหลี่ยมของมัน เห็นไหม เวลาจิตเสื่อมไม่ได้เลย ไม่ได้เลยนะ 

หยุด หยุดแล้วนะ เรามาสร้างศรัทธา เวลาพระเรานะ ถ้าจิตเสื่อม ถ้าจิตมันตกนะ จะไปกราบครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่แหวนอยู่นะ เห็นไหม หลวงปู่แหวนท่านมีบารมีธรรมของท่าน อย่างเช่น หลวงตาท่านอยู่นะ ท่านมีบารมีธรรมของท่าน ไปอาศัยท่าน เข้าไปวัดนะ ไปวัดท่านนั่นแหละ ไปวัดท่าน ไปขอพักขออาศัย ถ้าภาษาเราก็ไปชาร์จไฟ ไปชาร์จไฟไปปลุกใจให้มันฮึกเหิม ปลุกใจให้มัน ไอ้สิ่งที่มันต่อต้าน ไอ้สิ่งที่มันทำลาย ทำลายเพราะนั่นน่ะเล่ห์เหลี่ยมของมัน เวลามันแสดงลวดลาย นี่แหละลวดลายมันแสดงออก

แล้วมันแสดงออก มันแสดงออกที่ไหน ผลเกิดที่ไหน ผลเกิดบนใจที่พูด มันแสดงออกบนใจดวงไหน ใจดวงนั้นจะทุกข์อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เราก็รู้ การประพฤติปฏิบัติถ้าถึงที่สุดแล้วมันสิ้นกิเลสไปได้ การทำคุณงามความดีมันทำได้ แต่มันทำไมไม่อยากทำ หันหน้าเข้าไปมันตีกลับเลย มันตีกลับ ตีกลับมาแบบว่าคุกเข่าเลย ยอมจำนนกับมันเลย สู้กับมันอย่างไร 

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราค่อยๆ ถ้ามันไม่ไหว ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับมัน ถอยเลย ถอยมาฟื้นฟูหัวใจให้มันมั่นคง พอมั่นคงแล้วเราค่อยเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้น เริ่มต้นก็นั่งสมาธิภาวนา สวดมนต์ของเราขึ้นไป 

สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติ ทำบุญ ทำบุญกุศลมาขนาดไหน จะทำคุณงามความดีมาขนาดไหน ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ต้องลงสู่ที่การประพฤติปฏิบัตินี้เท่านั้น ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาภาคปริยัติ ศึกษามา ศึกษามาเพื่อความรู้ของเรา เวลาปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อคุณธรรมในใจของเรา 

แต่ปฏิบัติเพื่อคุณธรรมในใจของเรา ถ้ามันไม่มัชฌิมาปฏิปทา ไม่สมดุล มันสมุจเฉทปหานไม่ได้ มันเป็นตทังคปหานชั่วคราว เวลามันชั่วคราวนะ เวลาครูบาอาจารย์กิเลสมันบังเงา เวลาต่อต้านมันก็ต่อต้าน เราทำอะไรไม่ได้เลย แต่เวลาถ้ามันบังเงานะ พอประพฤติปฏิบัติไปนะ มันชักจูงไปเลย สำเร็จแล้ว ได้แล้ว รู้แล้ว แค่นั้นน่ะ มันชักไปเลย แล้วเราก็เชื่อมันเพราะอะไร เพราะอื้อหือมันดีงามไปหมด

แต่ถ้ามันยังไม่เป็นข้อเท็จจริง มันไม่เป็นข้อเท็จจริง มันยังไม่เป็นคุณธรรมจริงของเรา มันเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแทบทุกองค์ จะว่าทุกองค์เลยก็ได้ มันต้องมีเจริญแล้วเสื่อม เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ถ้ามันปฏิบัติครั้งเดียวสำเร็จไปเลย นั่นเขาก็สร้างของเขามา แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันต้องมาพิจารณา

เวลาหลวงตาท่านพูด หลวงตาท่านพูดนะ ท่านบอกว่า เวลาท่านระลึกถึงภาคปฏิบัติของท่าน เพราะท่านปฏิบัติมาเอง ท่านก็ต้องจำของท่านได้ ท่านบอกว่ามันแหยงเลย มันเสียวๆ เลยล่ะ บอกโอ้โฮยมันน่ากลัว แต่ขณะที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านยังเป็นวัยหนุ่มไง วัยหนุ่ม วัยที่แข็งแรง อดอาหาร อดจนหลวงปู่มั่นยังตกใจ ออกวิเวกกลับมามันเป็นดีซ่านไง เหลืองหมดเลย แล้วมันหนังหุ้มกระดูกเลย

ท่านตกใจเลย หาทำไมเป็นอย่างนี้” เพราะท่านห่วง เพราะท่านห่วงของท่าน ท่านรักของท่านนะ หลวงปู่มั่นท่านก็รักของท่าน เพราะท่านต้องการศาสนทายาท ท่านต้องการคนที่สืบต่อศาสนา หลวงปู่มั่นท่านรักนะ ถ้าในภาษาโลก ท่านรักของท่านมาก แต่การรักแบบธรรม รักแล้วก็ต้องใช้คุณธรรมฟาดฟัน ให้ลูกรักของเรามีคุณธรรมในใจให้ได้

ฉะนั้น เวลาท่านออกไปวิเวกกลับมา ฮ้าทำไมเป็นขนาดนี้ล่ะ” หลวงตาท่านออกไปอดอาหารกลับมา เป็นดีซ่านเหลืองหมดเลย นี้พออย่างนั้นปั๊บ นักปราชญ์กับนักปราชญ์คุยกัน เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า พอท่านพูดอย่างนั้นปั๊บ เราก็ฟัง เพราะหลวงตาท่านอดมาเอง ท่านเผชิญมาเอง ท่านรู้ของท่านเอง ฟังว่าท่านพูดอย่างไรต่อไป

ฉะนั้น พอท่านเห็น เห็นสภาพมันรุนแรง แต่ทีนี้ด้วยนักรบไง ท่านก็พลิกกลับเลย เอ้อนักรบต้องเป็นอย่างนี้เว้ย” กลัวบอกว่า เอ๊ะทำไมเป็นอย่างนี้ มันก็ถึงบอก โอ้โฮเราทำอย่างนี้ เราเองเราก็แย่อยู่แล้ว แล้วครูบาอาจารย์เรายังตกใจไปกับเรา เฮ้ออ่อนไปเลย แต่ท่านพลิกกลับเลย ไปเห็นทีแรกตกใจนะ เพราะท่านรักของท่าน แต่เสร็จแล้ว รักแล้วอยากจะให้ประสบความสำเร็จด้วย ท่านบอกว่า เอ้อนักรบเว้ย นักรบก็ต้องรบอย่างนี้” ท่านก็กลับมาฟื้นฟูใหม่

เวลาหลวงตาท่านย้อนกลับไปถึงที่ว่าท่านปฏิบัติมานะ ท่านบอก โอ้โฮ!ทำได้อย่างไร ทำได้อย่างไร แต่ตอนนั้น ๑วัยหนุ่ม แต่ที่สำคัญที่สุดคือกิเลส คือมันมีกิเลสคันในใจ มันมีสิ่งใดที่มันยอกใจอยู่เนี่ย มันมีอุดมการณ์ มีอุดมการณ์มีเป้าหมาย มีกำลังใจ พุ่งเข้าใส่เลย พุ่งเข้าใส่ เป็นอย่างไรเป็นกัน ตายเป็นตาย ถ้าจะตาย อะไรตายก่อน ขอดูก่อน ตาย อะไรเป็นตาย มันมุมานะ ก็เหมือนคนองอาจ เหมือนคนจริงจัง ทำเข้าไป 

แต่ท่านก็ยังติด ๕ ปีเลย เวลาท่านพูดเอง ท่านบอกว่าคิดว่าสมาธิเป็นนิพพาน ติดอยู่ ๕ ปี ขนาดอยู่ใกล้ขนาดนั้นนะ อุปสรรคมันเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น คนเราเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ โอ้โฮเวลาเสื่อมแล้วถึงจะรู้ พวกที่นักปฏิบัติเราปฏิบัติแล้วเป็นสมาธิไม่ได้ ปัญญาเกิดไม่ได้ มันก็ยังเป็นแบบว่าไม่รู้ถูกรู้ผิดไง แต่ถ้าคนปฏิบัติได้ โอ้โฮเป็นสมาธิได้ มีปัญญา แหม!แพรวพราว โอ้โฮสุดยอด แล้วปฏิบัติไป ปฏิบัติไป ชะล่าใจ วันหนึ่งไอ้ความแพรวพราวในใจหมดเลย แล้วสมาธิมันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ มันก็จะเป็นแบบนี้ จะเข้าทางจงกรมแม้แต่นาทีหนึ่ง จิตใจมันก็ไม่ยอมทำ จะนั่งสมาธิแม้แต่หนึ่งนาทีมันก็ไม่ยอม

เวลาเสื่อมไปแล้วนั่นน่ะ มันถึงจะรู้จัก พอรู้จักขึ้นมาแล้ว ไอ้ที่ว่าครูบาอาจารย์ปากเปียกปากแฉะ ไอ้ว่าเรื่องมาก เอ้อมันก็สมควรเนาะ พอมันเสื่อมไปแล้ว อ๋อที่ท่านปากเปียกปากแฉะก็เพราะเหตุนี้เอง ไอ้ที่ท่านจ้ำจี้จ้ำไชก็เพราะเหตุนี้เอง เหตุนี้เอง เวลามันเสื่อมไง แล้วเราจะบอกว่าเสื่อมหมด เสื่อมหมดเพราะอะไร เสื่อมหมดเพราะความรู้สึกเป็นนามธรรม

สิ่งที่เป็นนามธรรมมันรักษาไว้ได้ยากนะ อารมณ์ความรู้สึกนี่รักษาไว้ได้ยากมาก นี้อารมณ์ความรู้สึกรักษาไว้ได้เพราะเรามีสติ แล้วเรามีคำบริกรรมเกาะมันไว้ เกาะไว้ เกาะพุทโธไว้ เกาะพุทโธไว้ เราเกาะไว้ เราสร้างแต่เหตุ เราสร้างแต่เหตุไว้ ผลอย่างไรเป็นเรื่องของผล เราไม่เกี่ยว แต่ถ้าเราไปหวังผล หรือเราไปอยู่ที่ผล เหตุเราไม่รักษาไว้ จบเลยนะ เล่ห์เหลี่ยมของมันร้ายกาจ

ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัตินี่ก็แสนยาก เวลาปฏิบัติได้แล้ว แล้วเสื่อม ยิ่งยากกว่า หลวงตาท่านพูดเอง มันเหมือนเศรษฐีล้มละลาย คนเรานี่นะ เราทำมาหากินด้วยปกติของเรานะ เราก็มุมานะของเรา ไอ้เราเคยมีมหาศาลเลย เมื่อก่อนไปไหนนะ รถเบนซ์ ๕ คัน ๑๐ คัน ต้องมีรถนำหน้านำหลัง เดี๋ยวนี้รถเมล์ยังขึ้นไม่ได้เลย ทุกข์ไหม เมื่อก่อน โอ้โฮมีรถนำนะ ไปไหนมีรถนำ มีรถปิดขบวนด้วย เวลาเขาโกงหมดเลย ได้ขึ้นรถเมล์ เศษสตางค์จะจ่ายค่าตั๋วยังไม่มี นั่นน่ะเวลาเศรษฐีล้มละลาย 

แล้วเอ็งทำอย่างไรล่ะ ก็ต้องมุมานะเหมือนกัน จะดีขนาดไหน จะเลวขนาดไหน ต้องอยู่ในมรรคในผล ต้องประพฤติปฏิบัติเหมือนกันหมด เพียงแต่ที่ดีงามขนาดไหนนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น เวลาที่เราพูดปากเปียกปากแฉะเหมือนกัน เวลามาอ่านคำถาม แหมเห็นไหม หนึ่งนาทีนั่งก็ไม่ได้ เดินก็ไม่ได้ จิตใจมันไม่ยอมเลย แต่ผมก็อยากทำสมาธิครับ ผมอยากได้บุญกุศลครับ แล้วผมควรทำอย่างใด” 

ถ้าเราทำใจของเราให้ปลอดโปร่งไง ที่แล้วมาก็คือแล้วมา ไอ้ที่เสื่อมมันต้องมีเหตุมีผลทั้งนั้นน่ะ แล้วเรากลับมาพุทโธใหม่ เรากลับมาพุทโธของเรา ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้ พุทโธไปเรื่อยๆ ก่อน

ปกติเราก็พุทโธ เดินจงกรมเราก็เดินปกติของเรา ไม่ต้องเป็นกิจจะลักษณะ ถ้าเวลาเป็นกิจจะลักษณะมันไม่ยอมเลย จะเดินเป็นจงกรมไม่ให้เดิน แต่ถ้าไปเดินตามสวนหย่อม ไปเดินไอ้ที่เขาออกกำลังกายมันยอม ไปเดินอย่างนั้นก็ได้ เดินอย่างไรก็ได้ให้จิตใจมันยอมรับ แล้วถ้าเรามาปฏิบัติใหม่ได้

แต่พูดถึงให้ใจมันยอมรับ นี่ใจมันไม่ยอมรับ แล้วเราพยายามจะหาทาง มันยิ่งต่อต้านไปเรื่อย การต่อต้านก็ใช้ทิฏฐิเข้าต่อต้านกัน แต่เราใช้ปัญญาของเรา แยกแยะของเรา หาทางของเรา แล้วเรากลับมาภาวนาได้ กลับมาภาวนาใหม่ เรากลับมาภาวนาเพราะอะไร 

เพราะว่า เห็นไหม เวลาเวียนว่ายตายเกิด เกิดแต่ละภพแต่ละชาติ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ตั้งแต่เราปฏิบัติมาก็ภพชาติหนึ่ง ตอนนี้เสื่อมหมดแล้ว ตอนนี้ตกนรกอเวจีเลย ใจน่ะเป็นคนคนเดียวกันนี่แหละ คนคนหนึ่งเวลาปฏิบัติดี แหมเราเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นนักปฏิบัตินะ เรามีคุณธรรมในใจนะ เรามีความสุขนะ เวลาเสื่อมตกนรกทั้งเป็นเลย ร้อน ร้อนอย่างเดียวเลย คนคนเดียวกันนั่นแหละ เวลามันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม เราก็เปลี่ยนแปลงของเรา เอาเวลามาถนอมรักษาใจเรา แล้วกลับมา

ตอนนี้ภาวนานิ่งๆ ภาวนาเบาๆ เมื่อก่อนเคยนั่งสมาธิภาวนาเป็นกิจจะลักษณะ ตอนนี้ไม่ต้อง แต่รักษาใจไว้ไง อย่าปล่อยใจให้มันต่อต้าน ปล่อยใจต่อต้านหมายความว่า โอ้โฮรู้อย่างนี้ไม่ปฏิบัติก็ดี อย่าให้ถึงขนาดนี้ เอ้อไอ้ที่ปฏิบัติมาแล้วมันก็เป็นประสบการณ์ชีวิต แต่มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้หรอก ไอ้ที่กิเลสมันพลิกแพลงมา เล่ห์เหลี่ยมของมัน เล่ห์กิเลสมันทำให้เรามีอุปสรรค เราก็ค่อยๆ หาทางแก้ไขเรา

เบาๆ ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้ รักษาใจไว้ ฟังเทศน์ ตอนนี้เปิด ๑๐๓.๒๕ ฟังหลวงตาเฉยๆ ก็ได้ กลางคืนเปิดหลวงตาฟัง กล่อมใจไว้ เกาะเทศน์หลวงตาไว้ แล้วถ้าจิตใจมันฮึกเหิมมันจะกลับมา เพราะเดี๋ยวไปฟังหลวงตาท่านว่าท่านเสื่อม ท่านทุกข์ยากนะ อ้อหลวงตาท่านเคยทุกข์มาก่อน หลวงปู่มั่นท่านเคยทุกข์มาก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเคยทุกข์มาก่อน ไอ้เราก็ทุกข์แค่นี้เอง

พอแค่นี้เอง เห็นไหม ของเรามันเล็กน้อย มันก็กลับมา ถ้ามีปัญญาทันนะ กิเลสมันก็หลบหน้าไป แต่ถ้าเราไม่มีปัญญา แล้วเราจะไปเผชิญหน้ากับมัน แต่ด้วยสติปัญญาเราอ่อนด้อย กิเลสมันปั่นหัวให้เราไม่ฟื้นเลย ฉะนั้น เราต้องหาทางออกใช่ไหม

นี่พูดถึงว่า เจ็บที่ใจ ปฏิบัติมันจะมีปัญหาอย่างนี้ นี่พูดถึงเวลาจิตมันเสื่อม จิตมันเสื่อมมันเป็นอย่างนั้นเลย แล้วเรามาฟื้นฟูใหม่ เพราะยังมีชีวิตอยู่ ยังมีศรัทธาความเชื่อ ยังมีแรงปรารถนา ยังมีความเป็นมนุษย์ของเราอยู่ เห็นไหม

มีความเป็นมนุษย์ของเราอยู่ มนุษย์เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มนุษย์ที่มีกายกับใจ มนุษย์ที่จะเอาชนะตนเองให้ได้ด้วยสัจธรรม ด้วยคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นคุณธรรมในหัวใจของเรา เป็นความจริงของเรา เราถึงจะชนะกิเลสในใจของเราเข้าไปประพฤติปฏิบัติใหม่ได้

ถาม : เรื่อง ขอความเมตตาท่านอาจารย์ชี้แนะเรื่องการใช้จินตมยปัญญาครับ

กราบเท้าหลวงพ่อ เขียนคำถามมาครั้งนี้ ขอความเมตตาในการภาวนาเรื่องจินตมยปัญญาครับ ตอนนี้การภาวนาของผมเริ่มทำความสงบของใจเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วครับ ใจเริ่มมีความมั่นคง กำหนดพุทโธก็ชัดขึ้น จดจ่อได้นานขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ

หลังจากใจสงบลงบ้างแล้ว ช่วงนี้ผมเริ่มลองจินตนาการถึงกระดูกตัวเองครับ ค่อยๆ เริ่มจากกะโหลกถึงปลายเท้า แล้วกลับขึ้นมาครับ แต่ยังไม่ค่อยชัด ได้แค่รางๆ สักพักก็หยุดไป ผมก็เริ่มกลับมาพุทโธใหม่ พอสงบก็ลองมาทำอีก มาสลับกับกำหนดอวัยวะอื่นๆ ดูบ้าง แต่หลังจากนั้นก็กำหนดไม่ได้ครับ เพราะปวดหลังและขา เนื่องจากนั่งมานาน บวกกับโรคปวดหลังเรื้อรังที่เป็นอยู่ก็มาแทรกครับ เลยนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ให้ฝึกข่มใจดูบ้าง

ตอนนี้เลยลองใจตัวเอง คิดในใจว่า ตัวเรานี้นั่งมากี่ร้อยกี่พันชาติ ทนหน่อยจะไม่ได้หรือ มันจะตายก็ตายเลยหรือ สู้กับใจอยู่สักพัก ร่างกายก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ อึดอัด อยากจะลุกขึ้นแล้วเลิกภาวนา แต่ก็ลองสู้ต่อไปครับ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยชนะเลย ต้องเลิกทุกที ครั้งนี้ก็เลยลองเต็มที่ดูครับ 

หลังจากนั้นผลปรากฏว่าอาการร้อนของร่างกายและจุดที่ปวดเริ่มหาย ความเย็นเบาเริ่มเข้ามาแทนที่ครับ พอเรื่องนี้เบาลง กลับมาพุทโธต่อ แต่ผ่านไปสักพักก็กลับมากวนใจอีก เลยพุทโธต่ออีกสักพัก แต่ก็ได้ไม่นาน แล้วก็หยุดครับ

กระผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า การกำหนดกระดูกของผมโดยการจินตนาการ เราจะทำให้ชัดขึ้นต้องทำอย่างไรครับ ต้องกลับไปดูภาพกระดูกจริงหรือไม่ครับ หรือว่าควรทำแบบเดิมก่อนให้มากขึ้น (ตอนนี้ยังไม่ได้ดูภาพกระดูกจริง มาขอความเมตตาจากหลวงพ่อก่อน กราบขอความเมตตาครับ)

ตอบ : เวลาจินตมยปัญญา เห็นไหม การพิจารณากระดูก มันพิจารณาได้ทั้งนั้นน่ะ การพิจารณากระดูก เห็นไหม คนไปเที่ยวป่าช้าไปดูซากศพเลย ไปดูซากศพมันก็ต้องมีสติมีปัญญาพอสมควร แล้วเวลาไปดูซากศพเขาให้เข้าทางเหนือลม เพราะได้กลิ่นของลมก่อนไง

อยู่ในวิสุทธิมรรคนะ การจะไปเที่ยวป่าช้า สมัยโบราณมันมีผู้ใหญ่บ้าน กำนันเขาดูแลป่าช้าอยู่ ต้องไปแจ้งกำนันคนดูแลป่าช้าก่อน เพราะถ้าเราเข้าไปเที่ยวป่าช้า เกิดถ้ามีคดีขึ้นมา มีการลักมีการขโมยขึ้นมา เขาจะแจ้งโทษกับพระองค์นั้นได้ พระองค์นั้นถ้าจะทำ นี่ในวิสุทธิมรรคนะ 

แต่ในปัจจุบันนี้ป่าช้ามันไม่มีแล้ว ป่าช้าที่ทิ้งศพไว้มันไม่มี เขาฝัง เขาเผา มันเลยไม่มีกรณีนี้ขึ้นมาไง แต่ถ้ามันเป็นเมื่อก่อนนะ เขาก็ทิ้งไว้ สมัยพุทธกาล เขาทิ้งของเขาไว้อย่างนั้นน่ะ พอทิ้งไว้ เราจะไปดูเราต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เขาก่อน เพราะเกิดถ้ามีคดีความขึ้นมา เขาจะหาว่าเราจะเป็นผู้ต้องหาได้ นี่พูดถึงไปเที่ยวป่าช้า ไปดูศพภายนอกไง

แต่ถ้าของเรา เราจินตนาการเรื่องกระดูกขึ้นมา เห็นไหม เราจินตนาการ 

เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านสอน เห็นไหม ท่านบอกว่าให้กำหนดจิตไปตามข้อ ข้อนิ้ว ข้อนิ้ว เห็นไหม จากข้อนิ้วขึ้นมาก็มาข้อมือ มาข้อศอก มาหัวไหล่ ท่านบอกให้วนอยู่อย่างนี้ ท่านบอกอย่างนี้เป็นสมถะ เพราะจิตเรายังไม่เป็นสมาธิ เรากำหนดเราจะเห็นกายเราไม่ได้ ท่านบอกให้จิตมันสงบก่อน จิตวนกำหนดให้มันอยู่ตามข้อกระดูกที่เราระลึกได้ ให้เป็นชั่วโมงๆ หรือเป็นสอง สามชั่วโมง อย่างนี้เขาเรียกมันอยู่ จิตมันเป็นสมาธิ

ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วกำหนดดูกระดูกอย่างเดิมอีก กระดูกอันเดียวกันนี่แหละ จิตดวงเดียวกันนี่แหละ ดูครั้งหนึ่งเป็นสมถะ คือจิตมันไม่เป็นสมาธิ ดูเพื่อให้จิตมันสลดสังเวช ให้มันปล่อยวางเข้ามา พอจิตมันสงบแล้วก็ดูกระดูกอันเดิมนี่แหละ แต่เพราะมันมีสมาธิเป็นพื้นฐานนะ มันจะเห็นกระดูก มันจะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบแล้ว พอดูกระดูกอันเดิมมันขยายกระดูกได้ กระดูกขยายให้ใหญ่เล็กก็ได้ ขยายส่วนก็วิภาคะ พอมันขยายมันก็เป็นไตรลักษณ์ ถ้าไม่เป็นกระดูกมันพิจารณาของมันไป

นี่พูดถึงว่า การจะดูกระดูกให้ชัดไง ถ้าเราจินตนาการเป็นกระดูกก็ได้ เรากลับมาที่พุทโธก็ได้ ทีนี้สิ่งที่มันจะเป็น มันจะเป็นที่ว่า เห็นไหม เขาบอกว่าเขาบวกกับมีโรคประจำตัว โรคปวดหลังเป็นโรคเรื้อรัง

ถ้ามีโรคเรื้อรังเนี่ยนะ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แต่ถ้ามีหมอรักษาหรือดูแลโรคภัยไข้เจ็บนี้ให้เด็ดขาดไป กิเลสมันจะได้ไม่เอามาอ้าง กิเลสมันอ้างหมดล่ะ อ้างว่านั่งต่อไปก็เมื่อย นั่งต่อไปก็ร่างกายพิการ นั่งต่อไปเราทำงานไม่ไหว นั่งต่อไปชีวิตนี้ถ้ามันเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะทำมาหากินได้อย่างไร นั่งต่อไป... กิเลสมันอ้างหมดแหละ

ถ้าเราโรคภัยไข้เจ็บยกให้หมอ ถ้าหมอเขารักษา หมอเขาดูแลของเขา แต่หมอส่วนใหญ่ก็บอกว่าถ้ารักษาแล้วก็นั่งไม่ได้ ห้ามนั่ง เพราะหมอเขาต้องการผลงานของเขา รักษาแล้วเขาก็อยากได้ผลงานของเขา ร่างกายนี้ยกให้หมอไปเลย แล้วเราก็มาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าตามความเป็นจริงนะ ธรรมโอสถ

เวลาประเด็นที่แล้ว เราบอกว่าเวลาเราอดนอนผ่อนอาหาร เวลาความหิวเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นเรื่องสัจจะ เป็นข้อเท็จจริง ถ้ามันขาดตกบกพร่อง มันก็ต้องหิวกระหายเป็นธรรมดา 

แต่เวลาเราพิจารณาของเราไปบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ถ้ามันมีความชำนาญขึ้นไป เวลาจิตมันรวมลง จิตมันปล่อย มันลงสู่สมาธิ หายหมด สุขสงบระงับ เบา ว่างหมด มีความชุ่มชื่นในใจ จากหิวๆ นี่แหละ แต่พอมันคลายตัวออกมามันก็ยังมีความสุขอยู่ เพราะเป็นสมาธิแล้ว คลายตัวออกมาก็ยังเป็นสมาธิอยู่ ความหิวนั้นก็ไม่เข้ามารบกวนมาก แต่รู้ได้ รู้ว่า เอ้อมันมีอาการหิว แต่ไม่หิว แต่พอนานๆ ไปมันก็กลับมาหิวอีก ก็พิจารณาต่อเนื่องไป นี่พูดถึงว่าเวลามันปล่อยวางเข้ามา

นี่ก็เหมือนกัน เรามีโรคเรื้อรัง เรามีโรคเรื้อรัง เราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ธรรมโอสถ โรคเรื้อรัง เห็นไหม มันสามารถบรรเทาได้ บรรเทาได้ด้วยกำลังของจิต เรายกร่างกายนี้ให้หมอ หมอเป็นผู้รักษา ทางเคมีต่างๆ ให้หมอเขาใช้ทางเคมีบำบัดให้มันทุเลา แต่เวลาถ้าจิตเราสงบได้ ไอ้บวกกับโรคเรื้อรัง ไอ้โรคปวดหลังนี่ถ้าธรรมโอสถ จิตสงบด้วย แล้วมันปล่อยวางโรคด้วย ถ้าไม่ปล่อยวางถึงขาดไป โรคมันก็เบาบางลง 

ถ้าเบาบางลง แต่นี้ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสนะ ไม่ได้ ยิ่งนั่งยิ่งปวด ปวดแล้วมันก็ยิ่งปวดมากขึ้น ปวดมากขึ้นเดี๋ยวมันจะปวดเรื้อรัง ปวดเรื้อรังแล้วเดี๋ยวมันจะนั่งไม่ได้ มันไปทางนู้นน่ะ ถ้ามันไปทางนู้น เห็นไหม เราต้องใช้สติปัญญาของเรา นี่พูดถึงว่าโรคเรื้อรัง

แต่เรื่องที่เขาบอกว่า ถ้าจะดูกระดูกให้ชัดเจนขึ้นมา เราจะทำอย่างไรให้ชัดเจนขึ้นมา ไอ้ที่บอกว่าจินตมยปัญญา เห็นไหม ที่เขาเห็นกระดูก เห็นกระดูกของเขาแต่มันไม่ค่อยชัด ไม่ค่อยชัด เห็นรางๆ สักพักก็หยุดไป

ถ้าได้เห็น เราเห็นอย่างนั้นก็ได้ เราเห็นจากความนึกคิด เรานึกคิดขึ้นมาก่อน เพราะกายนอก กายนอกเรานึกคิดขึ้นมาก่อน เห็นไหม เขาเรียกจุดประเด็น มันมีประเด็นอะไรจะทำให้ใจมันก้าวเดินได้ เราจะใช้ประเด็นนั้น เราค่อยๆ ก้าวเดินต่อไป คำว่า ค่อยๆ” คนมันเป็นมันถึงรู้จังหวะไง

เหมือนกรรมการ วิ่งร้อยเมตร เขารู้ว่าร้อยเมตรระดับไหน ไอ้เราวิ่งร้อยเมตร อืมร้อยเมตรมันกี่กิโลวะ ร้อยเมตรมันยาวแค่ไหนก็ไม่รู้ มันก็เลยบอกว่า ไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไร มันถึงรักษายากไง แต่กรรมการเขาเป็นคนกำหนดเองร้อยเมตร แล้วถ้าวิ่งร้อยเมตร มันก็ต้องไปวิ่งร้อยเมตร ถูกต้องดีงาม มันต้องระดับนั้นไปถึงเส้นชัยก็จบ แต่ของเรา เราไม่รู้ร้อยเมตรมันกี่กิโล ร้อยเมตรมันวิ่งกี่วันวะถึงจะจบ ร้อยเมตร มันก็เลยทำให้เราเลยว่ากระดูกชัด ไม่ชัดนี่ไง

กระดูกชัด ไม่ชัด เพราะเรายังไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าใจโดยความเป็นจริง ฉะนั้น เราก็จินตนาการไป พอจินตนาการไป เราจินตนาการไปก็เพื่อเริ่มต้นจะเริ่มจุดสตาร์ตร้อยเมตรไง ถ้ามันเริ่มจากจุดสตาร์ตได้ เราก็สตาร์ตได้ ถ้าเขาวิ่งร้อยเมตรเขาต้องจุดสตาร์ต เขาแข่งขัน ๙ วิฯ ๑๐ วิฯ ๑๑ วิฯ จบ แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ เขาวิ่งกันอยู่นู่น เรามาวิ่งอยู่ทางนี้ เขาปรับฟาวล์หมด มึงไม่มีสิทธิ์แข่งขัน ไม่มีสิทธิ์เข้าสู่สัจจะ

ฉะนั้น ที่ว่ามันจะเลือนราง มันจะชัดเจน เราค่อยๆ ดูของเราไง ค่อยๆ แบบว่าใช้จินตนาการไป จินตนาการไป จินตนาการเพื่อจิตสงบ จิตสงบแล้วพิจารณากระดูกใหม่ๆ มันจะเป็นวิปัสสนา ถ้ามันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้ามันไม่เป็นความจริงอย่างนั้น ย้อนกลับมาคำถามมาเรื่อย เห็นไหม แต่เขาไม่เคยชนะเลยสักหนหนึ่ง แต่เวลาเอาจริงเอาจังเข้าไป เขาเคยชนะได้หนหนึ่ง คือเขาบอกว่า หลังจากนั้นปรากฏว่าอาการเร่าร้อนของร่างกาย จุดที่ปวดเริ่มหายไป ความเย็น ความเบากลับมาแทนที่

เวลาปฏิบัติ เราปฏิบัติขนาดนี้ ปฏิบัติเพื่อบรรเทาทุกข์ ปฏิบัติเพื่อเป็นสัจธรรม เกิดมาเป็นมนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ ถ้าแสวงหาทรัพย์ทางโลกก็ได้ทรัพย์ทางโลก ถ้าแสวงหาทรัพย์ทางใจ แสวงหาทรัพย์จากคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็จะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก จิตนี้ได้สัมผัส จิตนี้ได้เป็นเอง จิตนี้ได้กระทำเอง มันเป็นอยู่ในใจนั้น เป็นคุณธรรม เป็นสัจธรรมในใจดวงนั้น 

ฉะนั้น สิ่งที่เวลามันเย็น มันสบาย มันว่าง เราทำของเราเพื่อเหตุนี้ไง ฉะนั้น สิ่งที่ทำเพื่อเหตุนี้ ฉะนั้น ที่ว่าทำแล้ว เราทำของเราต่อเนื่องไป ทำต่อเนื่อง ทำเพื่อประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น เขาถามว่า การกำหนดดูโครงกระดูกโดยจินตนาการ เราจะให้มันชัดขึ้นจะทำอย่างไรครับ

กลับมาทำความสงบของใจ แล้วถ้ามันจินตนาการกระดูก ถ้ามันจินตนาการกระดูกในสมถะ ก็จินตนาการอย่างนั้นมันจะเป็นขึ้นมา มันจะปล่อยวาง มันจะไม่เห็นชัดเจนของมัน ถ้าจิตสงบแล้วมันพิจารณามันถึงเห็นไง อย่างที่ว่าเราพิจารณาของเรา เริ่มภาพกระดูกขึ้นมา มันปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา มันปล่อยจนภาพมันหายไป แต่ถ้ามันสงบแล้ว เรากำหนดขึ้นมามันจะเห็นเป็นภาพใหม่ เป็นวิภาคะ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

แต่ตอนนี้เขายังไม่เคยดูกระดูกจริง ไปดูก็ได้ มันมีอยู่ทั่วไปหมด ดูก็ดู ดูแล้วเรานึกภาพของเราก็ได้ ถ้าดูกระดูกจริง ดูอะไร มันก็เป็นดูของเรา แต่เขาว่า ต้องมาถามอาจารย์ก่อน แล้วมันอยู่ที่ความชอบ อยู่ที่จริตนิสัยของคน ถ้าคนชอบมันไปดูแล้วมันก็เป็นประโยชน์ 

ถ้าคนไม่ชอบ ไปดูแล้ว เห็นไหม เพราะอย่างที่ว่าอย่างเด็ก เขาบอกเขาจะเรียนหมอไง แล้วไปดูอาจารย์ใหญ่ จนนอนไม่ได้ เด็กบางคน ไอ้นี่มันก็เป็นสิ่งที่มันติดตา มันก็เรื่องของคน เรื่องของใจแสนยาก ไม่รู้ว่าใครมีจริตอย่างไร เป็นอย่างไร เราทำได้หมดล่ะ ค่อยๆ แล้วเวลาปฏิบัติพยายามให้จิตมันปกติก่อน ให้มันสมบูรณ์ก่อน แล้วมันจะปฏิบัติได้ อันนี้พูดถึงเรื่องจินตมยปัญญาเนาะ อันนี้จบ

ถาม : เรื่อง ปาราชิก ๔

ลักทรัพย์กับยักยอกทรัพย์ ผิดเหมือนกันหรือเปล่าครับ ขอทราบความคิดเห็นของท่านอาจารย์

ตอบ : โอ้โฮความคิดเห็นของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์นี้เป็นพระบ้านนอก 

ปาราชิก ๔ มันเป็นพุทธบัญญัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าบัญญัติปาราชิก ๔ ปาราชิก ๔ ใครทำปาราชิก รู้อยู่แก่ใจของตน เป็นตาลยอดด้วน มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องความเห็นของเรา ความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปาราชิก ๔ ปาราชิก ๔ ตาลยอดด้วน เป็นไปโดยอัตโนมัติ ตาลยอดด้วน ถึงจะห่มผ้าอยู่

ดูสิ สมเด็จญาณฯ ท่านเขียนไง ไม่ใช่ภิกษุ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แบบภิกษุ ถ้าตาลยอดด้วน ห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ก็ไม่ใช่ภิกษุ ปาราชิก ๔ มันเป็นไปโดยตัวมันเอง ไม่ใช่ภิกษุ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แบบภิกษุก็ไม่ใช่ภิกษุ เอวัง